เทรนด์เทคโนโลยีเพื่อองค์กรภาครัฐที่ต้องรู้ ในปี 2025!
กรกฎาคม 9, 2568
ปี 2025 คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับเทคโนโลยีภาครัฐทั่วโลก เมื่อการทดลองใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ได้สิ้นสุดลง และเข้าสู่ยุคของการนำไปปรับใช้จริงเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
บริษัทวิจัยชั้นนำระดับโลกต่างชี้ตรงกันว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ โครงสร้างพื้นฐานบนคลาวด์ (Cloud Infrastructure) จะเป็นสองพลังขับเคลื่อนหลักที่พลิกโฉมการทำงานของภาครัฐและยกระดับการให้บริการประชาชนไปอีกขั้น
บทความนี้จะเจาะลึก 5 เทรนด์เทคโนโลยี กำลังมาแรงและส่งผลกระทบโดยตรงต่อหน่วยงานภาครัฐซึ่งทุกองค์กรต้องทำความเข้าใจเพื่อเตรียมพร้อมรับมือและคว้าโอกาสการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้
1. Agentic AI: จุดเริ่มต้นของ “ผู้ช่วยราชการอัจฉริยะ”
ก้าวข้าม Generative AI ที่ทำหน้าที่เพียงตอบคำถามหรือสร้างเนื้อหา ไปสู่ Agentic AI หรือปัญญาประดิษฐ์เชิงรุก ซึ่งเป็นระบบที่สามารถวิเคราะห์ วางแผน และดำเนินการต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดได้ด้วยตนเอง เปรียบเสมือนการมี “ทีมงานดิจิทัล” ที่คอยช่วยเหลือและทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐได้อย่างอัตโนมัติ
Gartner คาดการณ์ว่าภายในปี 2028 การตัดสินใจในงานประจำวันถึง 15% จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ผ่าน AI Agents
Key Takeaways :
- ศักยภาพที่น่าจับตา: Agentic AI สามารถจัดการงานธุรการที่ซับซ้อนและซ้ำซ้อนได้โดยอัตโนมัติ (เช่น การตรวจสอบเอกสาร, การอนุมัติเบื้องต้น, การจัดการตารางนัด) ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐมีเวลาไปโฟกัสงานเชิงกลยุทธ์ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และการตัดสินใจของมนุษย์ได้มากขึ้น
- ประโยชน์ต่อประชาชน: ประชาชนจะได้รับบริการที่รวดเร็วและแม่นยำขึ้น สามารถติดต่อกับหน่วยงานรัฐได้ตลอด 24 ชั่วโมงผ่าน AI Agent ที่คอยรับเรื่องและดำเนินการเบื้องต้นให้ทันที ลดระยะเวลารอคอยและเพิ่มความพึงพอใจในการใช้บริการ
- ความเสี่ยงที่ต้องรับมือ: ความผิดพลาดของ Agentic AI อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง, ต้นทุนในการพัฒนาและดูแลรักษาระบบที่สูง, และความท้าทายในการสร้าง AI ที่เข้าใจบริบททางสังคมและกฎหมายที่ซับซ้อนของภาครัฐ
2. AI Governance: สร้างธรรมาภิบาลและความเชื่อมั่นในยุค AI
ภัยคุกคามที่เงียบงันแต่ร้ายแรงที่สุดในเวลานี้คือ “Q-Day” หรือวันที่คอมพิวเตอร์ควอนตัม (Quantum Computer) สามารถทำลายระบบการเข้ารหัสข้อมูลที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันได้ทั้งหมด Forrester เตือนว่าแฮกเกอร์กำลังใช้ยุทธวิธี “ดักเก็บข้อมูลวันนี้ เพื่อถอดรหัสในวันหน้า” (Harvest Now, Decrypt Later) ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อข้อมูลลับของชาติอย่างยิ่ง
Key Takeaways :
- ศักยภาพที่น่าจับตา: Agentic AI สามารถจัดการงานธุรการที่ซับซ้อนและซ้ำซ้อนได้โดยอัตโนมัติ (เช่น การตรวจสอบเอกสาร, การอนุมัติเบื้องต้น, การจัดการตารางนัด) ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐมีเวลาไปโฟกัสงานเชิงกลยุทธ์ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และการตัดสินใจของมนุษย์ได้มากขึ้น
- ประโยชน์ต่อประชาชน: ประชาชนจะได้รับบริการที่รวดเร็วและแม่นยำขึ้น สามารถติดต่อกับหน่วยงานรัฐได้ตลอด 24 ชั่วโมงผ่าน AI Agent ที่คอยรับเรื่องและดำเนินการเบื้องต้นให้ทันที ลดระยะเวลารอคอยและเพิ่มความพึงพอใจในการใช้บริการ
- ความเสี่ยงที่ต้องรับมือ: ความผิดพลาดของ Agentic AI อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง, ต้นทุนในการพัฒนาและดูแลรักษาระบบที่สูง, และความท้าทายในการสร้าง AI ที่เข้าใจบริบททางสังคมและกฎหมายที่ซับซ้อนของภาครัฐ
3. Post-Quantum Cryptography (PQC): ภูมิคุ้มกันไซเบอร์แห่งอนาคต
ภัยคุกคามที่เงียบงันแต่ร้ายแรงที่สุดในเวลานี้คือ “Q-Day” หรือวันที่คอมพิวเตอร์ควอนตัม (Quantum Computer) สามารถทำลายระบบการเข้ารหัสข้อมูลที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันได้ทั้งหมด Forrester เตือนว่าแฮกเกอร์กำลังใช้ยุทธวิธี “ดักเก็บข้อมูลวันนี้ เพื่อถอดรหัสในวันหน้า” (Harvest Now, Decrypt Later) ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อข้อมูลลับของชาติอย่างยิ่ง
Key Takeaways :
- ศักยภาพที่น่าจับตา: Post-Quantum Cryptography (PQC) คือมาตรฐานการเข้ารหัสรูปแบบใหม่ที่ถูกออกแบบมาให้ทนทานต่อการโจมตีจากคอมพิวเตอร์ควอนตัมโดยเฉพาะ เปรียบเสมือนการสร้าง “ห้องนิรภัยดิจิทัลแห่งอนาคต”
- ประโยชน์ต่อประชาชน: ข้อมูลส่วนบุคคลที่ละเอียดอ่อนของประชาชนที่อยู่ในระบบของรัฐ เช่น ข้อมูลสุขภาพ, ข้อมูลทะเบียนราษฎร, และข้อมูลภาษี จะได้รับการปกป้องด้วยมาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูงสุด ทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่ถูกโจรกรรมและนำไปใช้ในทางที่ผิดในอนาคต
- ความเสี่ยงที่ต้องรับมือ: การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบ PQC มีความซับซ้อนและต้องใช้เวลา หากดำเนินการช้าเกินไป ข้อมูลที่ถูกดักเก็บไว้ในวันนี้อาจถูกถอดรหัสได้ทั้งหมด ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อความมั่นคงของชาติอย่างประเมินค่าไม่ได้
4. Decentralized Digital Identity (DID): คืนอำนาจข้อมูลสู่มือประชาชน
ระบบยืนยันตัวตนแบบรวมศูนย์ ที่ใช้ในปัจจุบันกำลังสร้างความเสี่ยงจากการรั่วไหลของข้อมูลจำนวนมหาศาล เอกลักษณ์ดิจิทัลแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Digital Identity – DID) จึงเป็นทางออกที่ คืนอำนาจการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลให้กับประชาชนโดยตรง
Forrester จัดให้ DID เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีเกิดใหม่ที่สำคัญที่สุดสำหรับภาครัฐ เพราะช่วยให้การยืนยันตัวตนมีความปลอดภัยสูงและเคารพความเป็นส่วนตัวของประชาชน
Key Takeaways :
- ศักยภาพที่น่าจับตา: DID ช่วยให้การออกและตรวจสอบเอกสารยืนยันตัวตนดิจิทัล (เช่น บัตรประชาชนหรือใบขับขี่บนมือถือ) มีความปลอดภัยสูง ปลอมแปลงได้ยาก และลดภาระของภาครัฐในการเป็นศูนย์กลางเก็บข้อมูล
- ประโยชน์ต่อประชาชน: ประชาชนจะกลายเป็น “เจ้าของข้อมูล” ของตนเองอย่างแท้จริง สามารถเลือกว่าจะเปิดเผยข้อมูลส่วนไหนให้ใครเห็นได้ตามความจำเป็น เช่น ยืนยันว่าอายุเกินเกณฑ์ที่กำหนด โดยไม่ต้องแสดงวันเดือนปีเกิดจริง เพิ่มความสะดวกและปลอดภัยในการทำธุรกรรมดิจิทัล
- ความเสี่ยงที่ต้องรับมือ: การสร้างมาตรฐานกลางที่ทุกหน่วยงานยอมรับและสามารถทำงานร่วมกันได้, การให้ความรู้แก่ประชาชนเพื่อให้เข้าใจและสามารถจัดการเอกลักษณ์ดิจิทัลของตนเองได้อย่างปลอดภัย, และความท้าทายด้านกฎหมายที่ต้องปรับแก้ให้รองรับ
5. Hybrid & Multi-Cloud: ขับเคลื่อนภาครัฐด้วยนโยบาย “Cloud First”
หัวใจสำคัญที่ทำให้ทั้ง 4 เทรนด์ข้างต้นเป็นจริงได้ คือโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ยืดหยุ่น ทรงพลัง และปลอดภัย นโยบาย “Cloud First” คือกลยุทธ์ที่กำหนดให้หน่วยงานภาครัฐพิจารณาใช้บริการคลาวด์เป็นทางเลือกแรก ซึ่งนำไปสู่การใช้สถาปัตยกรรมแบบ Hybrid Cloud (ผสมผสานระหว่างคลาวด์ส่วนตัวและสาธารณะ) และ Multi-Cloud (ใช้บริการคลาวด์จากผู้ให้บริการหลายราย) เพื่อตอบโจทย์ที่แตกต่าง
Key Takeaways :
- ศักยภาพที่น่าจับตา: การใช้กลยุทธ์ Hybrid & Multi-Cloud ช่วยให้ภาครัฐมีความคล่องตัวสูงสุด สามารถเลือกใช้บริการที่ดีที่สุดจากผู้ให้บริการแต่ละราย หลีกเลี่ยงการผูกขาด (Vendor Lock-in) และสามารถปรับขนาดระบบได้อย่างรวดเร็วเพื่อรองรับภาระงานที่เปลี่ยนแปลงไป
- ประโยชน์ต่อประชาชน: บริการดิจิทัลของภาครัฐจะมีความเสถียรและพร้อมใช้งานอยู่เสมอ สามารถเปิดตัวบริการใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เช่น การให้บริการในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือการจัดทำแอปพลิเคชันเพื่อสนับสนุนนโยบายเร่งด่วน
- ความเสี่ยงที่ต้องรับมือ: ความซับซ้อนในการบริหารจัดการสภาพแวดล้อมที่มาจากหลายผู้ให้บริการ, การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่กระจายตัวอยู่บนคลาวด์หลายแห่ง, และการควบคุมค่าใช้จ่ายที่อาจเพิ่มขึ้นหากไม่มีการวางแผนและกำกับดูแลที่ดี
แนวโน้มเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการใช้เทคโนโลยีในภาครัฐจะเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญในการปรับปรุงการให้บริการประชาชน และเสริมสร้างความแข็งแกร่งขององค์กรรัฐในยุคดิจิทัล ซึ่ง โครงการคลาวด์กลางภาครัฐ หรือ GDCC โดยการสนับสนุนของ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม , สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) พร้อมเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนให้องค์กรภาครัฐเข้าถึงบริการทางเทคโนโลยีคลาวด์ และ AI ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่องค์กร ตอบโจทย์การทำงานของยุคสมัยใหม่ได้อย่างไร้ขีดจำกัด!